เรื่องราวของตำรวจเหล็ก Robocop ฮีโร่สุดคลาสสิคในรูปแบบวิดีโอเกม
ในอนาคตอันใกล้ เมือง Old Detroit ประสบปัญหาความยากจนและอาชญากรรมที่พุ่งสูงขึ้น บริษัท OCP หรือ Omni Consumer Products มีแผนปรับโฉมเมืองด้วยโครงการ Delta City โดยเหตุการณ์ในเกม “Robocop: Rogue City” จะเกิดขึ้นระหว่างช่วงของหนังภาค 2 และ 3 ซึ่งถูกมองว่าห่างไกลจากความสำเร็จของภาคแรก สำหรับ โรโบคอป เขาคือ Alex Murphy ตำรวจที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมและกลับคืนชีพในรูปแบบหุ่นยนต์ การผจญภัยเริ่มต้นเมื่อสตูดิโอข่าวถูกโจมตีโดยแก๊ง Torch Heads ที่ต้องการแสดงอำนาจของตน โรโบคอป และ Anne Lewis เพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยจึงต้องลงมือช่วยเหลือตัวประกัน แต่ในระหว่างปฏิบัติการ โรโบคอป กลับเห็นภาพหลอนเกี่ยวกับภรรยาและชีวิตที่ผ่านมา สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความตึงเครียดและความผิดพลาดเกิดขึ้น จนเกือบทำให้ตัวประกันได้รับอันตราย ซึ่งเหตุการณ์นี้นำไปสู่การวิจารณ์อย่างหนักในสังคมเกี่ยวกับความสามารถและจริยธรรมของเขาในฐานะตำรวจเหล็กที่ต้องรักษาความสงบในเมืองที่วุ่นวายนี้
ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำหรับ Teyon ที่ได้หยิบเอาภาพยนตร์ดังมาดัดแปลงเป็นวิดีโอเกม โดยเฉพาะกับ “Robocop: Rogue City” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการทำงานร่วมกันที่น่าจับตามอง แต่ยังมีผลงานที่โดดเด่นจากค่ายนี้อย่าง “Terminator Resistance” ที่ทำให้แฟน ๆ สะดุดตา แม้ว่าพล็อตของเกมจะเกิดขึ้นในช่วงของภาค 2 และ 3 ซึ่งหลายคนมองว่ามีจุดอ่อน แต่ Teyon ก็สามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจได้ เกมนี้เต็มไปด้วยบทสนทนาที่ลุ่มลึก และตัวร้ายที่น่าสนใจ แม้บางครั้งอาจมีความซ้ำซาก แต่การแสดงออกของ โรโบคอป ที่มีหัวใจและอารมณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกมนี้มีความพิเศษมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีบางช่วงที่การเล่าเรื่องอาจยืดเยื้อไปบ้าง ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเวลาไม่ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่โดยรวมแล้ว ทั้งเนื้อเรื่องหลักและรองก็ทำออกมาได้ดี แฟน ๆ ของ โรโบคอป จะได้พบกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และบรรยากาศที่คุ้นเคยจากภาพยนตร์ทั้งสามภาค สำหรับผู้ที่ไม่เคยดูมาก่อนก็สามารถสนุกได้ แม้จะไม่เข้าใจมุกหรือไม่รู้จักตัวละครบางตัวก็ตาม หากใครต้องการความเข้มข้นมากขึ้น ควรลองหาภาพยนตร์ภาคแรกจากปี 1987 มาดู เพราะภาค 2 และ 3 เชื่อมโยงกับเกม แต่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าภาคแรก ถ้ามีโอกาสอยากให้มีการสร้างเกมจากภาค 2014 ด้วยเช่นกัน เพราะเวอร์ชันนี้สร้างความประทับใจอย่างแท้จริง!
Presentation
ตัวอย่างโปรโมททำให้หลายคนคิดว่า “Robocop: Rogue City” จะเป็นเกมเส้นตรงที่เล่นในรูปแบบ Rail Shooter แต่เมื่อได้ลองเล่นจริง ๆ กลับพบว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เกมนี้ได้ผสมผสานความเป็น RPG เข้ากับการยิงได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นโลกในเกมนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบกึ่ง Open World หรือ Open Zone ซึ่งหมายความว่าเมื่อเริ่มภารกิจหลัก ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปยังพื้นที่เฉพาะ โดยพื้นที่เหล่านั้นเปิดกว้างให้เราได้สำรวจ เก็บ Collectible และทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มค่า EXP และของรางวัลให้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำกิจกรรมเหล่านั้นตามต้องการ
ใน “Robocop: Rogue City” ฉากต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน สื่อให้เห็นถึงบรรยากาศของเมืองที่มีชีวิตชีวา แม้จะเป็นย่านชุมชน แต่เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวและความหลากหลาย ตั้งแต่กลุ่มคนที่นั่งดื่มจนเมามาย ไปจนถึงไบค์เกอร์ที่จับกลุ่มพูดคุย ในขณะที่สาวบริการก็ไม่สนใจว่าคุณจะเป็นตำรวจหรือคนทั่วไป หากเข้าไปใกล้ NPC บางตัว อาจโดนไล่ออกไปเพราะพวกเขากำลังคุยเรื่องส่วนตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของทีมงาน และไม่แปลกใจที่หลายสื่อมองว่าเกมนี้ Underrate และไม่ค่อยได้รับการพูดถึงเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพที่นำเสนอ เกมนี้จึงเป็นประสบการณ์ที่น่าค้นหาและสมควรได้รับความสนใจมากกว่านี้.
ใน “Robocop: Rogue City” เนื้อเรื่องหลักพาผู้เล่นไปตามหาต้นตอของหัวหน้าแก๊งอาชญากรรม ในขณะที่ภารกิจย่อยหรือ Side Missions จะพาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวในชุมชน ทำให้เราในฐานะตำรวจมีโอกาสเลือกวิธีการลงโทษผู้กระทำผิด ว่าจะให้โทษอย่างเด็ดขาดหรือให้อภัย โดยการเลือกเหล่านี้จะส่งผลต่อทัศนคติของประชาชนต่อ โรโบคอป ทำให้เขาไม่ใช่เพียงแค่จักรกลที่ทำตามคำสั่ง แต่เป็นตัวแทนของความเห็นอกเห็นใจและความรับผิดชอบของผู้เล่นเอง
เกมนี้ถือเป็นการเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้เล่น หลายองค์ประกอบที่นำเสนออาจทำให้ผู้คิดว่าเกมจะไม่ประสบความสำเร็จรู้สึกประหลาดใจ โดยเฉพาะฉากและการเปลี่ยนแปลงระหว่างการเล่นที่ทำให้ความตื่นเต้นเพิ่มขึ้น สำหรับแฟน ๆ ของ Teyon สตูดิโอนี้เคยทำ “Terminator Resistance” ซึ่งได้รับการตอบรับดีในด้านเนื้อเรื่องที่เหนือกว่าภาพยนตร์ในช่วงเวลาเดียวกัน การเคารพและรักในต้นฉบับภาพยนตร์ทำให้เกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น แม้จะทำให้สงสัยว่าเหตุใด “Rambo: The Video Game” จึงไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน.
อย่างที่เห็นว่าใน “Robocop: Rogue City” การออกแบบภารกิจมีความหลากหลาย แต่บางครั้งก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ บางภารกิจสร้างความประทับใจและน่าติดตาม แต่บางภารกิจกลับรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้คิดให้รอบคอบเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นภารกิจรองที่เกี่ยวกับตำรวจคนหนึ่งที่ต้องการให้เพื่อนร่วมงานช่วยเขียนการ์ดอวยพรให้ตำรวจที่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเราต้องไปหาตำรวจคนอื่นในสถานี เพื่อขอให้เขียนการ์ดให้ โรโบคอปต้องทำเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ บางภารกิจอาจจะง่าย แต่บางคนกลับต้องดวลปืนกับเราเพียงเพื่อให้ได้คะแนนตามที่ระบบกำหนด ซึ่งบางครั้งมันรู้สึกเหมือนเสียเวลา เพราะเราต้องยิงเพื่อสะสมคะแนนมากมาย แต่ไม่สามารถจบภารกิจได้ง่าย ๆ
Gameplay
เมื่อเริ่มเล่น โรโบคอป เราอาจนึกว่าเกมนี้จะเป็น Rail Shooter ที่เน้นการยิงแบบสนุกสนาน แต่พอผ่านไป 20 นาทีแรก เรากลับพบว่าเกมนี้มีความลึกซึ้งกว่าที่คิด เป็น RPG ที่มีเนื้อเรื่องเข้มข้นและน่าสนใจ ในช่วงที่ไม่ต้องต่อสู้ เกมนำเสนอโลกแบบกึ่ง Open World ที่เราสามารถสำรวจสถานีตำรวจ ซึ่งทำหน้าที่เป็น Headquarter และมีภารกิจเสริมให้เราเลือกทำ เช่น การช่วยตำรวจที่เมาหรือการหยิบผ้าเช็ดตัวให้ ซึ่งทำให้เรารู้สึกถึงชีวิตในเมืองมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังมีโอกาสสำรวจชุมชนเพื่อดูสถานการณ์ต่าง ๆ และตัดสินใจเกี่ยวกับการลงโทษ ซึ่งการตัดสินใจแต่ละครั้งส่งผลต่อความรู้สึกของประชาชน ทำให้เรารู้สึกถึงความรับผิดชอบในบทบาทของตำรวจ การเลือกที่จะเด็ดขาดหรือให้อภัยในบางสถานการณ์สร้างมิติให้กับเกม แม้ว่าการเล่นในรอบต่อ ๆ ไปอาจรู้สึกซ้ำซาก แต่ประสบการณ์ที่ได้ถือว่าสร้างสรรค์และน่าจดจำเป็นอย่างมาก.
การทำภารกิจใน “โรโบคอป: Rogue City” จะพาเราเข้าสู่พื้นที่กึ่ง Open World ที่น่าสนใจ เมื่อเสร็จสิ้นเป้าหมายหลัก เรากลับมาที่สถานีตำรวจเพื่อสรุปผลการทำงาน ซึ่งจะคำนวณเป็นค่า EXP ที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวละครได้ เกมนี้มีระบบ RPG ที่ชัดเจน มีการอัปเกรดสกิลและความสามารถของ โรโบคอป ที่หลากหลาย การพบเจอเหตุการณ์หรือคดีต่าง ๆ ก็ทำให้เกมมีความน่าสนใจมากขึ้น เช่น การให้ใบสั่งรถที่จอดผิดกฎ หรือการจับเด็กที่พ่นกราฟิตี้ เราต้องเลือกว่าจะใช้วิธีไหนในการจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้น และเมื่อเข้าสู่การต่อสู้ เราจะได้เห็น โรโบคอป ใช้อาวุธในแบบตำรวจอย่างแท้จริง การที่เกมมีระบบที่ซับซ้อนกว่าที่คิดทำให้รู้สึกว่าประสบการณ์การเล่นเต็มไปด้วยความท้าทายและความสนุกมากมาย.
นอกจากนั้น อาวุธ Auto-9 ยังสามารถอัปเกรดได้ด้วยระบบที่ต้องเลือกรับทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยการวางชิปวงจรให้เชื่อมโยงกัน เพื่อเพิ่มพลังและความสามารถพิเศษของมัน อย่างไรก็ตาม ระบบนี้อาจทำให้รู้สึกว่ามีความท้าทายที่ไม่จำเป็น เพราะการเชื่อมต่อวงจรบางตัว เช่น วงจรสีแดงที่เป็นดีบัฟหนัก อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการเลือกทางที่ดีที่สุด สำหรับผู้เล่น แม้ระบบจะน่าสนใจ แต่ก็เหมือนจะมีการกดดันให้ผู้เล่นต้องจัดการกับข้อจำกัดเหล่านี้ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเอกของเรามีความสามารถสูง แต่กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่จำเป็น Robocop: Rogue City ยิ่งรู้สึกว่าเนื้อเรื่องเข้มข้นและน่าติดตามจริงๆ แถมฉากบู๊ยังมันส์สะใจ หากใครยังไม่เคยเล่น ต้องลองดู เพราะหลายสื่อพูดถึงเกมนี้ว่าเป็น Underrated ของปี 2023 และตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามันมีคุณภาพจริงๆ!
ข้อดี
- ระบบเกมหลากหลาย: การผสมผสานระหว่าง RPG และการยิง ทำให้ผู้เล่นมีความหลากหลายในการเล่น ทั้งการสืบสวนและการต่อสู้.
- บรรยากาศและกราฟิก: การออกแบบฉากในเมือง Old Detroit ถ่ายทอดบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยรายละเอียด.
- การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบ: ผู้เล่นสามารถเลือกวิธีลงโทษประชาชน ส่งผลต่อท่าทีของชุมชน ทำให้รู้สึกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ.
- การอัปเกรดอาวุธ: ระบบการอัปเกรดอาวุธที่น่าสนใจ ทำให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งอาวุธตามสไตล์การเล่นได้.
ข้อเสีย
- ปัญหาด้านฟิสิกส์และแอนิเมชั่น: บางครั้งการเคลื่อนไหวของตัวละครอาจดูไม่สมจริง หรือมีบั๊กที่ทำให้เกิดความฮาในสถานการณ์ที่ไม่ควรจะเป็น.
- ความหลากหลายของเควสท์: แม้ว่าจะมีเควสท์รองให้เลือกทำ แต่บางเควสท์อาจมีรูปแบบซ้ำซากหรือไม่ท้าทายเพียงพอ.
- การนำเสนอของระบบอัปเกรด: ระบบ Auto-9 ที่ต้องวางชิปวงจรอาจเพิ่มความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น ทำให้รู้สึกว่าอาจจะเป็นอุปสรรคมากกว่าความสนุก
- การควบคุมและกลไกการเล่น: บางผู้เล่นอาจพบว่าการควบคุมและกลไกการเล่นไม่ตอบสนองหรือซับซ้อนเกินไปในบางช่วง