เด็กชายและเด็กหญิง อุปสรรคและการเอาชีวิตรอดจากฝันร้าย
เกม Little Nightmares ภาคแรก เล่าเรื่องราวของ Six สาวน้อยในชุดกันฝนสีเหลืองที่ตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตัวเองอยู่ใน The Maw สถานที่ที่เน่าเฟะและทรุดโทรม เธอต้องเอาชีวิตรอดจากกับดักและความหิวโหย พร้อมกับต้องระวังการจับตามองจาก The Eye หรือดวงตาที่เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการเผชิญหน้ากับ The Lady หญิงสาวในกิโมโนที่ซ่อนใบหน้า ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เธอต้องหนีออกจากสถานที่อันน่าสยดสยอง ในภาคที่สอง เรื่องราวเปลี่ยนไปที่ MONO เด็กชายที่สวมหมวกถุงกระดาษ เขาตื่นขึ้นในเมืองที่เต็มไปด้วยความหดหู่และความน่าสะพรึงกลัว โดยมีสถานที่ต่างๆ เช่น โรงเรียนที่มี The Teacher ครูสาวปีศาจที่สามารถยืดคอได้, โรงพยาบาลที่มี The Doctor หมอปีศาจที่ชอบโจมตีจากเพดาน และอาคารที่ส่งสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของ The Thin Man ตัวร้ายหลักที่บงการภาพบนทีวี ทำให้ประชากรกลายเป็น The Viewers คนไร้หน้าที่จะโจมตีผู้ที่พยายามปิดทีวี ผู้เล่นต้องช่วยเหลือทั้ง Six และ MONO ในการหลบหนีจากความน่ากลัวและความอันตรายที่แฝงอยู่ในโลกอันมืดมิดนี้
ในภาค 2 ของ Little Nightmares เรื่องราวมุ่งเน้นไปที่ MONO เด็กชายผู้สวมหมวกถุงกระดาษ เขาตื่นขึ้นจากฝันร้ายในเมืองอันหดหู่ที่เต็มไปด้วยสถานที่น่าสะพรึงกลัว เช่น โรงเรียนที่มี ‘The Teacher’ ครูสาวปีศาจที่สามารถยืดคอได้ และ ‘The Bullies’ กลุ่มตุ๊กตานักเรียนที่ทำจากกระเบื้อง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลที่มี ‘The Doctor’ หมอปีศาจที่คอยโจมตีจากเพดาน และอาคารที่เผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ‘The Thin Man’ ตัวร้ายหลักที่ควบคุมภาพที่ฉายบนทีวี ทำให้ประชากรกลายเป็น ‘The Viewers’ คนไร้หน้าที่จะทำร้ายผู้ที่พยายามปิดทีวี ในภาคนี้ MONO ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวอย่างมากมาย และภารกิจของเขาก็แตกต่างจากภาคแรก เนื่องจากเขาต้องช่วยเด็กสาวคนหนึ่งที่เขาได้พบระหว่างการหลบหนี ทำให้การเดินทางของเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความท้าทายในการเอาชีวิตรอดร่วมกันในโลกที่อันตรายนี้
ในฝันร้ายที่คล้ายฝันดี
โลกใน Little Nightmares สร้างขึ้นจากบรรยากาศที่เน่าเฟะ โสมม และขมขื่น โดยมีภาพกราฟิกที่ได้แรงบันดาลใจจากผลงานของ Tim Burton ตัวละครและฉากต่างๆ ดูเหมือนการ์ตูนที่ไม่สมจริง แต่กลับแฝงไปด้วยรายละเอียดที่ชวนขนลุกและภาพสยดสยอง สร้างความขัดแย้งที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว Dave Mervik หนึ่งในผู้สร้างหลักของ Tarsier Studios อธิบายว่า ฉากหลังของเกมเกิดจากความคิดที่ว่า ถ้า สิ่งที่เด็กมองว่าน่ากลัวที่สุดในโลก มีลักษณะเน่าเหม็น บูดเบี้ยว และฟอนเฟะยิ่งขึ้น มันจะออกมาเป็นยังไง การนำเสนอในลักษณะนี้ทำให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความกลัวที่มีอยู่ในจินตนาการของเด็ก สร้างบรรยากาศที่พาให้ดิ่งลึกลงไปในโลกอันเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและความไม่แน่นอน
เราอยากสร้างโลกที่สะท้อนมุมมองของเด็กอย่างแท้จริง เพราะถ้าคุณลองคุยกับเด็ก คุณจะพบว่าพวกเขามักมองทุกสิ่งเป็นสองขั้วสุดโต่ง ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่หรือตัวร้าย ไม่ผจญภัยก็ต้องเป็นสยองขวัญ ไม่สนามเด็กเล่นก็คือคุก เราจึงพยายามสร้างโลกที่มีความรู้สึกแบบนั้น โดยให้ตัวละครหลักสวมใส่ชุดสีสดใส (ซิกซ์ในชุดกันฝนสีเหลืองสะท้อนแสง) ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับฉากหลังและองค์ประกอบรอบตัว ทุกอย่างดูใหญ่กว่า เร็วกว่า แข็งแรงกว่า และพร้อมจะเอาชีวิตคุณ เพราะนี่คือมุมมองที่เด็กๆ รู้สึกจริงๆ แนวคิดนี้ทำให้โลกในเกมทำให้เรารู้สึกตัวเล็กน้อย ทุกอย่างดูใหญ่โตเกินจริงและยากที่จะจัดการ อย่างเช่นฉากที่เพิ่มความสยองขวัญ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปรากฏตัวแบบ jump scare ที่ทำให้ตกใจเหมือนในหนังผี แต่คือความน่ากลัวที่เรารู้สึกเมื่อเป็นเด็ก เช่น สิ่งมีชีวิตที่มีสัดส่วนผิดปกติ ความมืดที่แฝงไปด้วยความไม่แน่นอน หรือแม้กระทั่งความสูญเสีย ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างบรรยากาศที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความกลัวในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในฝันเด็กไร้พลังและไร้เสียง
นอกจากเสียงเอฟเฟกต์และดนตรีประกอบในฉากหลัง Little Nightmares ยังไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยิน เกมนี้นำเสนอเรื่องราวผ่านภาพและการกระทำของตัวละคร ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นข้อด้อย แต่กลับกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เกมมีความสนุกอย่างลึกซึ้ง ด้วยการออกแบบให้เป็นแนวแก้ไขปริศนา ผู้เล่นถูกโยนเข้าสู่โลกที่ไม่รู้จักโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทำให้พวกเขาต้องสำรวจและค้นหาวิธีแก้ปัญหา ยิ่งผู้เล่นแก้ปริศนาได้มากเท่าไหร่ ความสนุกและความตื่นเต้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อช่วงเวลาเหล่านี้สลับกับความสยองขวัญและการผจญภัย เกมนี้นำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลายผ่านแนวทางที่ผู้พัฒนาเรียกว่า Hide and Sneak โดย Andreas Johnsson หนึ่งในทีมผู้สร้างได้กล่าวว่า “เราไม่อยากใช้คำว่าเกมแนว stealth แบบที่หลายเกมใช้ เพราะมันจะให้อำนาจกับผู้เล่นมากเกินไป เราต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตนเองคือเด็กจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือการซ่อนแอบและสำรวจเท่านั้น” ด้วยความหลากหลายและความแปลกใหม่นี้ หลายเว็บไซต์เกมต่างประเทศจึงให้คะแนนเกมนี้สูงมาก เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ห่างจาก Cuphead เจ้าของรางวัลเกมอินดี้ประจำปีเพียงไม่กี่คะแนนเท่านั้น
ฝัน บาดแผล และตัวแปร
ทั้งสองแง่มุมที่กล่าวถึงเป็นเพียงฉากหน้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดใน Little Nightmares คือความหมายที่ซ่อนอยู่ในเกม แม้เกมจะบอกเราว่าเป็นการสำรวจ ฝันร้าย ของเด็ก ๆ ผ่านสไตล์ภาพ และการเล่น แต่เมื่อได้สัมผัสจริง ๆ เราจะพบว่าภายใต้ฝันร้ายนั้นมีข้อความลึกลับที่ทำให้ผู้ใหญ่ต้องตกตะลึง ในภาคแรก ตัวเอกอย่างซิกซ์พบกับตัวร้ายที่ส่วนใหญ่เป็น ผู้ใหญ่ตัวอ้วนที่หิวกระหายและกินเด็ก ซึ่งเด็กที่ถูกกินจะกลายเป็นหิน ฉากจบสื่อให้เห็นว่า ฝันร้ายหรือบาดแผลในวัยเด็กสามารถหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พวกเขาเคยเกลียด ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความจริงในชีวิต เคยไหมที่เราไม่ชอบผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง แต่เมื่อโตขึ้น กลับพบว่าตนทำเหมือนเขา? ไม่ว่าจะเป็นการกระทำไร้เหตุผลของพ่อแม่ หรือคำพูดที่ไม่เข้าหูจากครู หรือแม้กระทั่งความห่วยแตกของผู้ใหญ่ในสังคมที่เห็นบนหน้าข่าว หากเราไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าเราจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นเอง เพราะสังคมที่ผู้ใหญ่สร้างไว้มีแนวโน้มที่จะทำให้เรากลายเป็นปีศาจในแบบเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
ในภาค 2 โมโนและซิกซ์ต้องเผชิญกับตัวร้ายชื่อ The Viewers ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงปัญหาของสื่อที่มีผลต่อเด็กอย่างชัดเจน ในบางฉาก โมโนเองก็เหมือนถูกสะกดจิตจากโทรทัศน์ ซึ่งทำให้เราตระหนักถึงว่าหน้าจอสามารถทำให้คนแสดงออกอย่างรุนแรงได้อย่างไร นอกจากนี้ การที่ The Thin Man สามารถควบคุม The Viewers ยังสื่อให้เห็นว่า หากเราไม่ระมัดระวังในสิ่งที่เสพผ่านหน้าจอ เราอาจกลายเป็นเครื่องมือของผู้ที่ควบคุมสื่อได้ในวันหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เกมยังสะท้อนปัญหาในโรงเรียนอย่างชัดเจน ผ่านตัวละครอย่าง The Teacher ที่ยืดคอยาวเพื่อคอยจับตาดูเด็กๆ และบังคับให้พวกเขาทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ ขณะที่ The Bullies กลุ่มนักเรียนกระเบื้องก็คอยบูลลี่เพื่อนๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาในโรงเรียนมักเกิดจากเพื่อนและครูมากกว่าสถานที่เอง ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดที่เกมค่อยๆ ถ่ายทอดให้เราเห็นว่า ‘ฝันร้าย’ ของเด็กมีผลต่อการเติบโตของพวกเขามากเพียงใด และความฝันร้ายเหล่านี้ยังมีให้ผู้เล่นได้สำรวจและสัมผัสเพิ่มเติมในโลกของเกมอีกมากมาย
ปัจจุบัน Little Nightmares ภาค 2 กำลังได้รับเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับภาคแรก ดูเหมือนว่า ฝันร้ายของเด็กๆ จะมีภาคต่อไปแน่นอน สิ่งนี้ยืนยันว่าแม้เมสเซจหลักที่เกมพยายามสื่อสารอาจฟังดูเข้าใจยาก แต่หากเราผ่านการคิด และไตร่ตรอง รวมถึงค้นหา จุดร่วม ในวิธีการนำเสนอ ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก เหมือนกับที่ Andreas Johnsson หนึ่งในทีมผู้สร้างเคยกล่าวไว้ว่า คำถามที่ว่าทำไมเราถึงใช้ตัวละครเป็นเด็ก ก็เพราะเราทุกคนเคยเป็นเด็กกันทั้งนั้น และเด็กในวันนั้นจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหนในปัจจุบัน? บางทีฝันร้ายในอดีตนั่นเองอาจเป็นคำตอบที่สำคัญในการเข้าใจการเติบโตของเราในโลกนี้