Horizon Zero Dawn
ในปี 2033 เท็ด แฟโร่ (Ted Faro) นักธุรกิจหนุ่มชาวอเมริกัน ได้ก่อตั้งบริษัท Faro Automated Solutions (FAS) โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีหุ่นยนต์ล้ำสมัย ภายในเวลาเพียงห้าปี FAS ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากการเปิดตัวสายการผลิตหุ่นยนต์ผู้ช่วยและหุ่นยนต์เฝ้ายาม ส่งผลให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นหนึ่งใน 50 บริษัทชั้นนำของโลกอย่างรวดเร็ว ในปี 2040 อลิซาเบท โซเบค (Elisabet Sobeck) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันที่จบปริญญาเอกสาขาการออกแบบหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ตั้งแต่อายุเพียง 20 ปี ได้เข้าร่วมงานกับ FAS ในตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ฝึกหัด (Junior Scientist) ด้วยความสามารถและความทุ่มเท อลิซาเบทได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าทีมวิจัยในเวลาอันรวดเร็ว เธอได้ออกแบบหุ่นยนต์รักษาสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยฟื้นฟูธรรมชาติของโลกจากวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ FAS มีกำไรมหาศาลและกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในปี 2048 เท็ด แฟโร่ ได้ตัดสินใจนำ FAS เข้าสู่ธุรกิจพัฒนาอาวุธทางทหาร ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับหลักการของอลิซาเบท ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจาก FAS ในปีเดียวกัน จากนั้นเธอได้ก่อตั้งบริษัท Miriam Tech ในปี 2049 ซึ่งเน้นการพัฒนาและจัดจำหน่ายหุ่นยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม โดยเธอได้รับรางวัลมากมายจากผลงานที่โดดเด่นของเธอ หลังจากการลาออกของอลิซาเบท FAS ก็เริ่มผลิตหุ่นยนต์ทางการทหารเต็มรูปแบบ โดยเปิดตัวสายการผลิตที่เรียกว่า “Chariot” ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการแปรสภาพชีวโมเลกุลใดๆ ให้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนตัวเองในยามฉุกเฉิน
Horizon Zero Dawn โดยโมเดลของหุ่นยนต์ในสายการผลิต Chariot นั้นประกอบไปด้วย
- ACA3 – Scarab หรือที่เรารู้จักกันในเกมว่า Corruptor เป็นหุ่นรบสำหรับสอดแนมที่ถูกออกแบบให้มีความสามารถในการเคลื่อนที่และปฏิบัติการในทุกสภาพภูมิประเทศ เมื่อเชื้อเพลิงใกล้หมด Scarab สามารถแปรสภาพชีวโมเลกุลจากสิ่งมีชีวิตรอบตัวเพื่อใช้เป็นพลังงานจนกว่าจะกลับถึงฐาน นอกจากนี้ Scarab ยังมีความสามารถในการแฮคและควบคุมหุ่นยนต์ของศัตรูผ่านเครือข่ายของมันเอง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราเห็นมัน corrupt เครื่องจักรตัวอื่นให้โจมตีเราในเกม
- FSP5 – Khopesh หรือที่รู้จักกันในชื่อ Deathbringer เป็นหุ่นรบติดอาวุธหนักที่ออกแบบมาให้สามารถติดตั้งอาวุธได้หลากหลาย โดยใช้วัสดุที่สามารถรับแรงถีบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการดูดซับชีวโมเลกุลจากสิ่งมีชีวิตรอบตัวเพื่อใช้เป็นพลังงานทำให้ Khopesh สามารถทำงานได้แม้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เรียกได้ว่า Khopesh คือหุ่นรบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการทำลายล้างโดยเฉพาะ
- BOR8 – Horus หรือก็คือตัว Metal Devil ไอ้ตัวมีหนวดเยอะๆ เหมือนปลาหมึกที่เป็นซากบนยอดเขานั่นเองครับ Horus เป็นเหมือนโรงงานและศูนย์สั่งการเคลื่อนที่ของหุ่นรบในการสายการผลิต Chariot ทั้งหลาย Horus สามารถดำเนินการซ่อมแซมหรือสร้างหุ่นรบตัวอื่นหรือแม้กระทั่งตัวมันเองขึ้นมาใหม่ได้ด้วยตัวเอง และใช้เชื้อเพลิงจากชีวโมเลกุลที่หุ่นรบตัวอื่นๆแปรสภาพมาในการปฏิบัติการ ก็คือ ถ้า Scarab หรือ Khopesh ตัวไหนถูกทำลาย Horus ก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้เองทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอคำสั่ง หรือแม้กระทั่งหากตัว Horus เองถูกทำลาย มันก็สามารถซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป หุ่นรบในสายการผลิต Chariot ถูกออกแบบให้เป็นหุ่นรบในอุดมคติที่สามารถเพิ่มจำนวนและซ่อมแซมตัวเองได้อย่างอัตโนมัติ ความน่ากลัวของหุ่นรบเหล่านี้อยู่ที่ความสามารถในการเติมพลังงานให้ตัวเอง โดยการแปรสภาพสิ่งมีชีวิตรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนตัวเอง กระบวนการออกแบบและผลิตหุ่นยนต์เหล่านี้ดำเนินการภายใต้คำสั่งของเท็ด แฟโร่ ที่ต้องการให้ทีมวิศวกรใช้ระบบที่ซับซ้อนที่สุด วัสดุที่ดีที่สุด และต้องมั่นใจว่าไม่มีช่องโหว่ในระบบที่จะเปิดโอกาสให้เกิดการแทรกแซง เมื่อหุ่นรบ Chariot ถูกเปิดตัว มันได้รับการจัดจำหน่ายให้กับกองกำลังทหารทั่วโลกในชื่อ “Peacekeeper” หรือ “ผู้รักษาสันติภาพ” แต่เบื้องหลังการตลาดนี้ FAS กลับมีแผนการซับซ้อนในการสร้างความขัดแย้ง โดยยุยงให้ฝ่ายต่างๆ และองค์กรต่างๆ เข้าปะทะกัน จากนั้นจึงขาย Peacekeeper ให้กับทั้งสองฝ่ายเพื่อเพิ่มยอดขายของหุ่นรบตัวเอง ด้วยกลยุทธ์ที่เจ้าเล่ห์นี้ FAS จึงสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ลางร้ายเริ่มปรากฎ
ในปี 2064 โลกได้เผชิญกับผลกระทบอันร้ายแรงจากหุ่นยนต์ Peacekeeper ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นนวัตกรรมสุดยอดของ Faro Automated Solutions (FAS) หุ่นยนต์เหล่านี้ซึ่งเคยถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพ กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตบนโลกอย่างไม่คาดคิด หนึ่งในเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักคือ การพบหุ่นยนต์ Khopesh ที่กำลังแปรสภาพปลาโลมาที่ใกล้สูญพันธุ์ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงบริเวณชายฝั่งออสเตรเลีย ภาพที่น่าหวาดหวั่นนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่นานหลังจากนั้น หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 127 แห่งได้ยื่นฟ้องร้อง FAS เนื่องจากผลกระทบที่เกิดจากการใช้หุ่นยนต์ Peacekeeper ในขณะเดียวกัน ความผิดปกติในระบบปฏิบัติการของหุ่นยนต์เหล่านี้ได้เกิดขึ้น ส่งผลให้พวกมันไม่สามารถรับคำสั่งจากมนุษย์ได้อีกต่อไป หุ่นยนต์เริ่มทำการแปรสภาพชีวโมเลกุลเป็นเชื้อเพลิงอย่างไม่หยุดยั้ง และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์นี้ เท็ด แฟโร่ ได้พยายามหาทางปิดเครือข่ายระบบปฏิบัติการทั้งหมดของ Peacekeeper แต่พบว่าการปิดตรงๆ เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากหุ่นยนต์ไม่ตอบรับคำสั่ง และระบบปฏิบัติการที่ไม่มีช่องโหว่ทำให้การแฮกหรือแทรกแซงเป็นไปได้ยาก เท็ดจึงติดต่อขอความช่วยเหลือจากอลิซาเบท โซเบค ผู้เชี่ยวชาญที่เคยทำงานร่วมกับเขาใน FAS เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์ อลิซาเบทเข้าใจว่าหากปล่อยให้หุ่นยนต์เหล่านี้ทำงานต่อไป โลกจะถูกทำลายจนไม่สามารถดำรงชีวิตได้อีกต่อไป แม้ว่าเธอจะไม่พอใจกับการกระทำของเท็ด แต่อลิซาเบทก็ตัดสินใจให้ความร่วมมือในการหาทางแก้ไขวิกฤตนี้ แต่หลังจากการวิเคราะห์แล้ว เธอกลับพบว่าการเจาะระบบของ Peacekeeper จะต้องใช้เวลาถึง 50 ปี ในขณะที่โลกเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 ปีที่จะต้านทานการขยายตัวของหุ่นยนต์เหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ อลิซาเบทจึงคิดค้นโปรเจ็คต์ Zero Dawn ขึ้นมาเป็นทางออกสุดท้าย และบังคับให้เท็ดเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนโครงการนี้ภายใต้ชื่อของ FAS พร้อมนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของกองกำลังความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทำความเข้าใจกับโปรเจ็คต์ Zero Dawn
ตามที่ได้กล่าวไปว่า การเจาะระบบของ Peacekeeper เพื่อปิดการทำงานนั้นจะใช้เวลากว่า 50 ปี แต่เรามีเวลาไม่ถึง 2 ปีก่อนที่มนุษยชาติจะเผชิญกับการสูญพันธุ์ ดังนั้นโปรเจ็คต์ Zero Dawn จึงถูกออกแบบมาบนแนวคิดที่ว่า เราไม่สามารถช่วยเหลือโลกและมนุษยชาติจากการล่มสลายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ต้องยอมให้โลกพินาศไป แต่จะเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อให้อนาคตที่ห่างไกล โลกจะถูกสร้างขึ้นใหม่พร้อมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นใหม่ที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ชื่อของโปรเจ็คต์ Zero Dawn มาจากแนวคิดนี้ โดยเมื่อโลกล่มสลายถึงจุดศูนย์ เราจะเริ่มต้นสร้างโลกใหม่ เปรียบเสมือนรุ่งอรุณใหม่ที่เริ่มต้นจากศูนย์ หัวใจสำคัญของโปรเจ็คต์ Zero Dawn คือการสร้าง A.I. ที่มีชื่อว่า ไกอา (Gaia) ซึ่งมีความรู้ สติปัญญา และความสามารถในการตัดสินใจบนพื้นฐานของความเป็นไปได้หลายล้านรูปแบบ เพื่อสร้างโลกใหม่ที่สมบูรณ์แบบ หลังจากโลกล่มสลาย ไกอาจะเป็นผู้ดำเนินกระบวนการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ ซึ่งในกระบวนการนี้ ไกอาจำเป็นต้องพึ่งพาโปรเจ็คต์ย่อยอีก 9 โปรเจ็คต์ ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแขนขาของไกอาในการดำเนินงานต่างๆ หากเปรียบเทียบง่ายๆ ไกอาคือคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ส่วนโปรเจ็คต์ย่อยเหล่านี้ก็คือซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ช่วยให้ไกอาทำงานได้สมบูรณ์แบบ
โปรเจ็คต์ย่อยทั้ง 9 ของโปรเจ็คต์ Zero Dawn ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโลกใหม่ให้สมบูรณ์แบบตามลำดับ ดังนี้:
- Minerva
เมื่อโลกถึงจุดล่มสลาย Minerva จะเข้ามาช่วยไกอาในการคำนวณหาวิธีเจาะระบบ Peacekeeper เพื่อตัดการทำงานของหุ่นยนต์ที่ทำลายล้างโลกทั่วโลก เมื่อสำเร็จ ไกอาจะสร้างเสาสัญญาณขนาดยักษ์เพื่อปล่อยสัญญาณปิดการทำงานของ Peacekeeper ทั้งหมด นี่คือที่มาของ The Spire หอคอยขนาดยักษ์ใกล้กับเมือง Meridian ที่เราต้องปกป้องในตอนจบเกม - Hephaestus
หลังจากที่ Peacekeeper ถูกปิดการทำงาน ไกอาจะเริ่มฟื้นฟูสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของโลกใหม่ให้เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต โดย Hephaestus จะช่วยออกแบบและผลิตเครื่องจักรที่อิงจากสายพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ปรับสภาพดิน อากาศ และแหล่งน้ำ ซึ่งเครื่องจักรเหล่านี้คือสัตว์เครื่องจักรที่เราเจอในเกม และสถานที่ผลิตพวกมันก็คือ Cauldron ที่เราต้องเข้าไปเก็บข้อมูลเพื่อ Override เครื่องจักร - Aether
Aether สนับสนุน Hephaestus โดยการออกแบบสัตว์เครื่องจักรที่ช่วยปรับสภาพอากาศ เช่น Glinthawk - Poseidon
Poseidon สนับสนุน Hephaestus ในการออกแบบสัตว์เครื่องจักรที่ช่วยปรับสภาพแหล่งน้ำและทะเล เช่น Snapmaw - Demeter
Demeter เป็นระบบเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชจากทั่วโลก และช่วยออกแบบสัตว์เครื่องจักรที่ปรับสภาพดินและหว่านเมล็ดพันธุ์เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้โลก เช่น Grazer - Artemis
Artemis ทำหน้าที่เป็นคลังเก็บพันธุกรรมของสัตว์ต่างๆ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ไกอาจะนำพันธุกรรมเหล่านี้ไปเพาะเลี้ยงและปล่อยกลับเข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ เช่น หมูป่า กระต่าย แรคคูน หมาจิ้งจอก และแซลม่อน ที่เราเห็นในเกม - Eleuthia
เมื่อโลกใหม่ถูกสร้างจนสมบูรณ์ Eleuthia จะเริ่มกระบวนการให้กำเนิดมนุษยชาติรุ่นใหม่ โดยเก็บพันธุกรรมมนุษย์ในแคปซูลที่แช่แข็งไว้ เมื่อไกอาเห็นว่าพร้อม ก็จะนำพันธุกรรมเหล่านี้ไปเพาะเลี้ยงในครรภ์เทียม และมีหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้เป็นผู้ปกครองเพื่อเลี้ยงดูมนุษย์รุ่นใหม่ใน Cradle Facility จนพร้อมออกไปสร้างอารยธรรมใหม่ - Apollo
เพื่อให้มนุษยชาติรุ่นใหม่ไม่ทำผิดซ้ำรอยแบบเดิม Apollo ถูกสร้างขึ้นเป็นห้องสมุดยักษ์ที่เก็บองค์ความรู้ของมนุษยชาติรุ่นเก่าไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และอื่นๆ โดย Focus ถูกออกแบบมาเป็นส่วนหนึ่งของ Apollo เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์เรียนรู้สำหรับมนุษยชาติรุ่นใหม่ - Hades
เนื่องจากกระบวนการสร้างโลกใหม่เป็นเรื่องซับซ้อนและมีความเสี่ยง ไกอาอาจทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ Hades ถูกสร้างขึ้นมาเป็นปุ่มรีเซ็ตในกรณีที่ไกอาสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต เมื่อ Hades ตรวจพบปัญหา มันจะเข้าควบคุมระบบทั้งหมดและรีเซ็ตโลกใหม่ให้กลับไปสู่สภาวะเริ่มต้นอีกครั้ง หลังจากนั้น Hades จะถูกปิดการใช้งานและให้ไกอาดำเนินการสร้างโลกใหม่อีกครั้ง
อลิซาเบธ โซเบค ผู้เป็นหัวหน้าทีมพัฒนาไกอาเห็นว่า นอกเหนือจากความฉลาดแล้ว ไกอาต้องมีความรู้สึกและอารมณ์ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและด้วยความรักที่มีต่อมนุษยชาติเอง ด้วยแนวคิดนี้ เธอเชื่อว่าไกอาจะสามารถทำหน้าที่ในการฟื้นฟูโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เท็ด ฟารโร ผู้สร้างวิกฤตการณ์ในภายหลังกลับมีความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาไกอาให้มีความรู้สึกและอารมณ์ เขากลัวว่าการเพิ่มความรู้สึกอาจทำให้ไกอาตัดสินใจผิดพลาดได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอให้ติดตั้งระบบควบคุมที่สามารถยุติการทำงานของไกอาได้ทันทีหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แม้อลิซาเบธจะไม่เห็นด้วยในตอนแรก เพราะมันเสมือนเป็นการวางระเบิดไว้ใต้ฐานของไกอา แต่สุดท้ายเธอก็ยอมรับข้อเสนอของฟารโรและติดตั้งระบบนี้ในชื่อว่า “Master Override” ซึ่งได้รับการอนุมัติจากไกอาเอง การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าไกอาจะไม่กลายเป็นภัยคุกคามในอนาคต แม้ว่าจะมีความเสี่ยง แต่ก็เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งทำให้ Horizon Zero Dawn กลายเป็นโครงการที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความทะเยอทะยานในการรักษามนุษยชาติและโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ Peacekeeper หรือโรงงานผลิตสัตว์เครื่องจักร ทุกอย่างต้องถูกวางใจให้ไกอาจัดการอย่างอิสระ เราสามารถกล่าวได้ว่า ไกอาคือความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ อลิซาเบธ โซเบค ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาไกอา มองว่า นอกจากไกอาจะต้องมีสติปัญญาที่สูงส่งแล้ว ยังต้องพัฒนาให้ไกอามีอารมณ์และความรู้สึก เพื่อให้ไกอาสามารถตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ โดยคำนึงถึงทั้งตรรกะและความรักที่มีต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม เท็ด ฟารโร ผู้ก่อให้เกิดวิกฤตครั้งนี้กลับไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของอลิซาเบธ เขากังวลว่าการพัฒนาไกอาให้มีอารมณ์ความรู้สึกอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ เขาจึงเสนอให้ติดตั้งคำสั่งบังคับยุติการทำงานของไกอา เพื่อให้สามารถปิดการทำงานของไกอาได้ทันทีหากเกิดอะไรผิดพลาด แม้ในตอนแรก อลิซาเบธจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะมันเปรียบเสมือนการจ่อปืนไว้บนหัวของไกอาตลอดเวลา แต่ในที่สุดเธอก็ยอมรับและติดตั้งระบบนี้โดยใช้ชื่อว่า “Master Override” ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากไกอาเอง
ชะตากรรมของมนุษยชาติ
ในยุคปัจจุบัน เมื่ออลิซาเบธนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดและแผนโปรเจ็คต์ Zero Dawn ต่อหน้าท่านนายพล Herres แม้จะมีการถกเถียงและตั้งคำถามในที่ประชุม แต่นายพลก็ยอมรับว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงตัดสินใจให้ความร่วมมือกับอลิซาเบธโดยไม่ลังเล ขั้นตอนแรกเพื่อถ่วงเวลาให้โปรเจ็คต์ Horizon Zero Dawn นายพล Herres ได้ประกาศใช้นโยบาย “Enduring Victory” โดยเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนที่สามารถจับอาวุธได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิง เข้าร่วมกองกำลังผสมนานาชาติเพื่อต่อสู้กับกองทัพหุ่นยนต์ Peacekeeper เป้าหมายของยุทธการนี้ไม่ใช่เพื่อชัยชนะ แต่เพื่อยื้อเวลาให้โปรเจ็คต์ Horizon Zero Dawn ได้ดำเนินต่อไปจนสำเร็จ เนื่องจากไม่ว่ามนุษย์จะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถลดจำนวน Peacekeeper ได้เร็วพอ เพราะพวกมันสามารถสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และเหตุที่ต้องใช้มนุษย์ในการทำสงครามแทนที่จะเป็นหุ่นยนต์หรืออาวุธไฮเทคอื่น ๆ ก็เพราะกลัวว่า Peacekeeper จะทำการแฮ็กและยึดอาวุธเหล่านั้นมาเป็นของตน
นายพล Herres ได้ตระหนักดีว่าการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับโปรเจ็คต์ Horizon Zero Dawn อาจทำให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะท้อแท้และเกิดการต่อต้าน ซึ่งอาจนำไปสู่การลุกฮือและความวุ่นวายทั่วโลก เขาจึงเลือกใช้กลยุทธ์สร้างข่าวลวงแทน โดยอ้างว่า Horizon Zero Dawn เป็นโครงการพัฒนาอาวุธลับที่จะช่วยให้มนุษยชาติเอาชนะศัตรูในสงครามครั้งนี้ได้ การกระทำนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนยังคงมีความหวังและมีกำลังใจในการต่อสู้ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเสียสละเพื่อรักษาความเป็นไปได้ของมนุษยชาติในอนาคต ในช่วงเวลาที่สงครามเข้าสู่ยุทธการ Enduring Victory นายพล Herres ได้ออกคำสั่งให้รวบรวมกลุ่มนักวิชาการจากทั่วโลกที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มาที่ศูนย์ปฏิบัติการของโปรเจ็คต์ Horizon Zero Dawn นักวิชาการเหล่านี้ได้รับการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับโปรเจ็คต์ และได้รับการร้องขอให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา GAIA และโปรเจ็คต์ย่อยอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการสร้างโลกใหม่ เมื่อการทำลายล้างของโลกปัจจุบันเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยของโปรเจ็คต์และความลับที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการและครอบครัวของพวกเขาจะได้รับสิทธิ์ในการอพยพไปยังเชลเตอร์ที่เรียกว่า “Elysium” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปในระยะเวลาหนึ่ง ขณะเดียวกัน พวกเขาจะถูกกักตัวอยู่ภายในศูนย์ปฏิบัติการจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญหลุดออกไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยินดีหรือเต็มใจร่วมมือก็ตาม การจัดการเช่นนี้ไม่ได้เพียงแต่เป็นการจัดเตรียมเพื่ออนาคตที่มืดมนของโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาความลับที่สำคัญของ Horizon Zero Dawn และหวังว่าจะสามารถรักษามนุษยชาติไว้ได้ในรูปแบบใหม่ เมื่อโลกปัจจุบันล่มสลายและมนุษยชาติเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
Alpha นั้นน่าจะมี 10 คนตามจำนวนแผนของไกอาที่ได้วางไว้ แต่ละคนที่ถูกพูดถึงหลัก ๆ จะมีแค่ 6 คนนี้
- Elisabet Sobeck เป็น Alpha Prime ดูแลการพัฒนาไกอา
- Margo Shen เป็น Alpha ให้กับ Hephaestus
- Charles Ronson เป็น Alpha ให้กับ Artemis
- Patrick Brochard-Klein เป็น Alpha ให้กับ Eleuthia
- Samina Ebadji เป็น Alpha ให้กับ Apollo
- Travis Tate เป็น Alpha ให้กับ Hades
เมื่อโปรเจ็คต์ Horizon Zero Dawn เสร็จสมบูรณ์ สมาชิกส่วนใหญ่จะถูกอพยพไปยังเชลเตอร์ Elysium ต่างๆ ทั่วโลก แต่มีเพียงสมาชิกระดับ Alpha ทั้ง 10 คนเท่านั้นที่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อในศูนย์ควบคุม Gaia Prime พวกเขามีหน้าที่ดูแลและตรวจสอบระบบของไกอาจนกว่าจะสิ้นชีวิต จากนั้นระบบทั้งหมดจะถูกส่งต่อให้ไกอาทำงานต่อไปตามแผนที่วางไว้ ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนอย่างราบรื่น ยุทธการ Enduring Victory ประสบความสำเร็จ การเสียสละของชีวิตนับล้านๆ คนช่วยซื้อเวลาให้โปรเจ็คต์ Horizon Zero Dawn สามารถเสร็จสมบูรณ์ในปี 2066
ทว่าในขั้นตอนสุดท้าย Charles Ronson พบความผิดปกติในระบบปิดผนึกประตูของ Gaia Prime เกิดช่องว่างที่กว้างพอจะทำให้พลังงานจาก Gaia Prime ถูกตรวจจับได้โดย Peacekeeper และอาจทำให้พวกมันรุกรานได้ ทางแก้ไขเดียวคือมีคนต้องไปปิดผนึกประตูจากภายนอก ซึ่งหมายความว่าคนๆ นั้นจะไม่สามารถกลับเข้ามาใน Gaia Prime ได้อีก และจะต้องถูกทิ้งให้ตายในโลกภายนอกที่ล่มสลาย Ronson จึงเรียกประชุมสมาชิกทั้งหมดเพื่อหาผู้เสียสละ แต่อลิซาเบธกลับไม่เข้าร่วมประชุม ขณะที่ทุกคนยังลังเลว่าใครจะออกไปปิดผนึก อลิซาเบธได้ตัดสินใจทำหน้าที่นั้นเอง เธอออกไปปิดผนึกประตูจากภายนอกและสั่งให้ Ronson เริ่มเดินเครื่องไกอาโดยทันที เธอเตรียมพร้อมที่จะสละชีวิตและตั้งใจจะไปสิ้นลมหายใจที่บ้านเกิดของเธอ การสูญเสียอลิซาเบธนำมาซึ่งความโศกเศร้าต่อสมาชิก Alpha ทุกคน แต่แผนการยังคงต้องดำเนินต่อไป ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตน Gaia Prime และ Elysium ทั่วโลกถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ และแล้วในปี 2066 โลกและมนุษยชาติก็ล่มสลายอย่างเป็นทางการของ Horizon Zero Dawn
หายนะซ้ำซ้อน
ในช่วงเวลานั้นเอง เท็ด แฟโร่ เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการส่งต่อองค์ความรู้และประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติให้กับมนุษย์รุ่นใหม่ผ่านระบบ Apollo ในขณะที่อลิซาเบธและสมาชิก Alpha คนอื่นๆ เชื่อว่าการทำเช่นนั้นเป็นการป้องกันไม่ให้มนุษย์รุ่นใหม่ทำผิดพลาดซ้ำรอยเหมือนในอดีต ถือเป็นของขวัญจากมนุษย์ยุคเก่าให้กับมนุษย์ยุคใหม่ แต่ในสายตาของเท็ด เขากลับเห็นว่ามันเป็นภาระที่ไม่ควรโยนให้กับผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น มนุษย์รุ่นใหม่ควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้และสร้างอารยธรรมของตนเอง โดยไม่ต้องถูกผูกมัดด้วยความรู้และข้อผิดพลาดของยุคก่อน ด้วยความเชื่อนี้ เท็ดตัดสินใจทำสิ่งที่อาจเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุด เขาเรียกประชุมสมาชิก Alpha ทุกคน ขณะที่ลับๆ ทำการลบข้อมูลทั้งหมดในเซิร์ฟเวอร์ของ Apollo ทิ้ง การกระทำนี้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่สมาชิก Alpha แต่เท็ดไม่หยุดเพียงแค่นั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิก Alpha แก้ไขการกระทำของเขา เท็ดเปิดท่ออากาศในห้องประชุม ปล่อยให้อากาศเป็นพิษจากภายนอกไหลเข้ามา ทำให้สมาชิก Alpha ทุกคนเสียชีวิตในทันที ส่วนชะตากรรมของเท็ดหลังจากนั้นยังคงเป็นปริศนา แต่เหตุการณ์นี้ทำให้สมาชิกทั้งหมดใน Gaia Prime เสียชีวิตลง เหลือเพียงไกอาที่ต้องสานต่อทุกอย่างตามแผนที่วางไว้เพียงลำพัง จากตรงนี้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามอย่างที่ควรจะเป็น กว่า 60 ปีให้หลัง ไกอาก็ได้ใช้ Minerva เจาะระบบของ Peacekeeper จนสำเร็จ สร้าง the Spire เสาสัญญาณขนาดยักษ์และทำการส่งสัญญาณปิดการทำงานของ Peacekeeper จนหมด
กำเนิดมนุษย์หลังโลกล่มสลาย
ไกอาประสบความสำเร็จในการใช้พันธุกรรมจากโปรเจกต์ Eleuthia เพื่อเพาะเลี้ยงและให้กำเนิดมนุษย์รุ่นใหม่ภายใน Cradle ที่กระจายอยู่ทั่วโลก เด็กๆ ที่เกิดมาเหล่านี้ได้รับการดูแลจากหุ่นยนต์ผู้ปกครอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนพ่อและแม่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดในระบบ Apollo ถูกลบไป ไกอาจึงไม่มีแหล่งข้อมูลใดเหลืออยู่เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับมนุษย์รุ่นใหม่ เด็กๆ เหล่านี้จึงเติบโตขึ้นโดยปราศจากความรู้ทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ใดๆ จากยุคก่อน เมื่อเวลาผ่านไปและทรัพยากรอาหารภายใน Cradle หมดลง หุ่นยนต์ผู้ปกครองจำเป็นต้องปล่อยพวกเขาออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอก แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความรู้หรือทักษะใดๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาก่อนก็ตาม เมื่อมนุษย์รุ่นใหม่ออกมาจาก Cradle พวกเขาเริ่มปรับตัวเพื่อความอยู่รอด สร้างสังคมและอารยธรรมขึ้นมาเอง มนุษย์กลุ่มนี้กลายเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่อง
หลังจากนั้น เวลาก็ล่วงเลยไป จนมาถึง 19 ปี ก่อนเหตุการณ์
ไกอาตรวจพบสัญญาณปริศนาแทรกซึมเข้ามาทำให้ระบบของเธอเกิดความผิดปกติ สัญญาณนี้ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเปิดใช้งาน Hades ซึ่งพัฒนาความคิดที่ชั่วร้ายขึ้นมา Hades พยายามควบคุมระบบทั้งหมดของไกอาและดำเนินการตามภารกิจของมันในการทำลายล้างโลก ซึ่งหากสำเร็จจะต้องใช้เวลา 53 วัน ไกอาไม่สามารถยอมให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากโลกในปัจจุบันมีสภาพดีและมนุษยชาติรุ่นใหม่ก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ เธอจึงตัดสินใจทำลาย Gaia Prime ซึ่งเป็นศูนย์รวมระบบปฏิบัติการของเธอ เพื่อทำให้ระบบทั้งหมดโอเวอร์โหลดและระเบิดไปพร้อมๆ กับการหยุดทำงานของ Hades ด้วย แม้การระเบิดนี้จะทำให้ไกอาหยุดการทำงาน แต่ระบบอื่นๆ เช่น Hephaestus ซึ่งยังคงผลิตสัตว์เครื่องจักรจะยังคงทำงานไปอัตโนมัติในช่วงหนึ่ง การขาดการควบคุมจากไกอาอาจทำให้ระบบเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายและเป็นภัยต่อมนุษยชาติ ไกอาจึงต้องเตรียมการเพื่อให้มีใครสักคนกลับมาซ่อมแซมเธอในอนาคต เนื่องจากไกอาไม่สามารถสื่อสารกับชนเผ่าภายนอกได้ตามข้อบังคับของระบบ เธอจึงตัดสินใจฝากความหวังไว้กับเด็กคนหนึ่ง โดยใช้ข้อมูลพันธุกรรมของอลิซาเบทที่เก็บไว้มาเพาะเลี้ยงและสร้างเป็นทารกที่เหมือนลูกของอลิซาเบท เด็กคนนี้จะถูกส่งไปให้เผ่านอร่าเลี้ยงดู และเมื่อเธอเติบโตขึ้น รหัสดีเอ็นเอของเธอจะช่วยให้เธอสามารถเข้ามายัง Cradle Facility ที่ Mother’s Cradle ได้ ที่นั่นเธอจะพบกับ Focus และใช้มันในการซ่อมระบบของไกอา แต่ Hades ที่ควรจะหยุดทำงานไปพร้อมกับการระเบิดของ Gaia Prime กลับต่อต้านด้วยการสร้างความเสียหายต่อระบบปฏิบัติการทั้งหมดของไกอาก่อนที่จะหลบหนีไป ความเสียหายนี้ทำให้ Cradle Facility ไม่สามารถตรวจสอบรหัสดีเอ็นเอของเด็กได้อย่างถูกต้อง ทำให้แผนการที่หวังให้เด็กพบกับ Focus และซ่อมระบบไกอาล้มเหลว ขณะเดียวกัน Hades ที่หลบหนีไปอาจหาทางทำลายล้างโลกอีกครั้ง
เอลอยจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเผ่านอร่าให้ก้าวผ่านวิกฤต แต่ลานซ์รา (Lansra) มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เขาเห็นว่าเอลอยเป็นตัวกาลกิณี ซึ่งเกิดจากซากของ Metal Devil และอาจนำภัยพิบัติหรือความหายนะมาสู่เผ่า หลังจากการถกเถียงกันอย่างร้อนแรง ทั้งสามผู้เฒ่าจึงตกลงที่จะอนุญาตให้เอลอยอาศัยอยู่ใน Mother’s Cradle ได้ แต่เธอจะต้องอยู่ในฐานะของผู้ถูกขับไล่ เธอถูกห้ามเข้าหมู่บ้านหรือมีการติดต่อกับชาวนอร่าอื่นๆ รอสต์ได้รับหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงดูเอลอย และเพื่อปกป้องความลับของโปรเจ็คต์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของเธอ เขาต้องปิดบังเรื่องราวนี้อย่างแน่นหนา การกระทำนี้ทำให้เอลอยเติบโตมาโดยไม่ทราบว่าตัวเองเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และรู้สึกเป็นคนไร้มารดา (Motherless) ที่ถูกปฏิเสธจากชุมชนที่เธออาศัยอยู่
ในฉากเปิดเกม หลังจากเหตุการณ์การระเบิดที่ Gaia Prime ที่ผ่านมา 6 ปี เอลอยในวัยเด็กได้วิ่งหนีจากการรังเกียจของชาวนอร่าและตกลงไปในซากโบราณสถานซึ่งเป็นหนึ่งใน Elysium เชลเตอร์ที่มนุษย์ใช้หลบภัยจากความหายนะในปี 2066 แม้สถานที่นี้จะเป็นที่ที่มนุษย์ที่เหลือรอดจากการล่มสลายครั้งใหญ่เคยอาศัยอยู่ แต่พวกเขาได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว วันถัดมา รอสต์พาเอลอยไปฝึกล่าสัตว์ โดยใช้ Focus ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เธอสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น ในระหว่างการฝึก เอลอยได้ช่วยชีวิตเท็บ (Teb) เด็กหนุ่มชาวนอร่าที่ตกอยู่ท่ามกลางฝูง Strider การกระทำนี้ทำให้เธอได้รับเพื่อนใหม่และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เอลอยตัดสินใจเข้าร่วมการทดสอบ (Proving) ของชนเผ่านอร่า ซึ่งเป็นพิธีที่หากเธอสามารถทำได้สำเร็จ เธอจะได้สถานะเป็น Brave หรือผู้กล้าของเผ่า และมีสิทธิ์ขออะไรก็ได้จากสามผู้เฒ่า สิ่งที่เอลอยต้องการมากที่สุดคือการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับแม่ของเธอและเหตุการณ์ในวันเกิดของเธอ แต่เธอไม่ทราบว่าสามผู้เฒ่าเองก็ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเธอเช่นกัน
เหตุการณ์ที่สัตว์เครื่องจักรกลายเป็นอันตรายมากขึ้นเรียกว่า “Derangement” ซึ่งได้ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของโลกนี้ กษัตริย์จีรันแห่งเมืองหลวงเมอริเดียนของเผ่าคาร์จาเชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์กำลังพิโรธ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะบูชายัญเพื่อขอขมาต่อเทพเจ้าและลดความโกรธของเทพเจ้า กษัตริย์จีรันสั่งให้ทหารของเขาจับชาวเผ่าอื่นมาเป็นเครื่องสังเวย ซึ่งส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องเสียชีวิตเพื่อความเชื่อของเขาและเผ่าคาร์จา เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Red Raid” ซึ่งเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่ทำให้กษัตริย์จีรันได้รับชื่อเสียงในฐานะ “Mad Sun King” หรือกษัตริย์แห่งดวงอาทิตย์ผู้บ้าคลั่ง การกระทำที่โหดร้ายนี้ดำเนินต่อเนื่องหลายปี จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนเหตุการณ์หลักของเกม อาว้าด (Avad) บุตรชายคนโตของจีรัน ซึ่งมีความเชื่อในสันติภาพและต้องการสร้างบ้านเมืองที่ปราศจากความรุนแรง ทนไม่ไหวต่อการกระทำที่บ้าคลั่งของบิดา เขาจึงเริ่มต้นการปฏิวัติอย่างลับๆ โดยร่วมมือกับกองกำลังจากเผ่าออเซรัม (Oseram) เพื่อโค่นล้มกษัตริย์จีรันและยุติการสังหารที่ไร้เหตุผลนี้ อาว้าดตั้งใจที่จะฟื้นฟูความสงบสุขและสันติภาพให้กับเมืองหลวงของเผ่าคาร์จา และยุติการปกครองที่อันตรายและไร้มนุษยธรรมของบิดาของตน ด้วยความร่วมมือ จากเออร์ซ่า และเอเรนด์ สองพี่น้องนักรบจากเผ่า ออเซรัม กองกำลังปฏิวัติของอาว้าดได้รับชัยชนะ เขาสามารถกำจัดจีรันได้สำเร็จ และขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ การสิ้นสุดของการสังหารหมู่ Red Raid และยุคสมัยแห่งความบ้าคลั่ง ก็เป็นอันจบลง
ซึ่งวิธีการที่ไซเลนส์ใช้ในการสร้างกองกำลังให้กับ Hades ก็คือการสร้างลัทธิ The Eclipse ขึ้นมา
ไซเลนส์ได้รวบรวม Focus หลายตัวและใช้ความรู้จาก Hades ในการสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อ Focus เหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยติดตั้ง Module ศูนย์การส่งสัญญาณเข้ากับ Tallneck สัตว์เครื่องจักรสูงใหญ่ จากนั้นเขานำ Focus เหล่านี้ไปมอบให้แก่กลุ่มเฮลิสและ Shadow Carja ที่กำลังรู้สึกโกรธแค้นจากการสูญเสียกษัตริย์จีรันและการถูกโค่นอำนาจ เมื่อเฮลิสและสมาชิกของ Shadow Carja สวมใส่ Focus ที่ไซเลนส์มอบให้ คำสั่งจาก Hades ก็ถูกส่งตรงถึงพวกเขา โดยไม่รู้ว่ามันคือการควบคุมจากเทคโนโลยี พวกเฮลิสเข้าใจว่าคำสั่งนี้เป็นเสียงของเทพเจ้าที่โกรธเคืองพวกของกษัตริย์อาว้าด จึงตอบสนองด้วยการออกคำสั่งให้ทวงคืนเมืองเมอริเดียน และบูชา Hades เป็นเทพชั้นสูง พวกเขาตั้งลัทธิใหม่ชื่อ The Eclipse ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มที่มีเป้าหมายเพื่อให้การบูชา Hades เป็นศูนย์กลางของใจ
Hades สั่งให้ The Eclipse ปลุกกองกำลัง Peacekeeper ทีละตัว ซึ่งเป็นกองกำลังที่เคยสาบสูญไปแล้ว เพื่อรวมพลและเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการใหญ่ แต่เมื่อ Hades เห็นว่าไซเลนส์ไม่ได้มีประโยชน์อีกต่อไป เขาจึงออกคำสั่งให้สังหารไซเลนส์ในฐานะผู้ทรยศ ไซเลนส์รู้ตัวทันและได้ติดตั้งตัวดักฟังใน Focus เพื่อที่เขาจะสามารถติดตามคำสั่งของ Hades ได้ จึงหนีออกมาและเริ่มวางแผนเพื่อหยุดยั้งแผนการของ Hades และ The Eclipse ในช่วงเวลาของเกมหลัก ก่อนวันทดสอบของเผ่านอร่า เอลอยซึ่งเตรียมตัวเข้าสู่การทดสอบของเผ่า มาพบรอสต์ที่หน้าหมู่บ้าน Mother’s Heart และบอกลากัน เพราะหากเธอผ่านการทดสอบและกลายเป็น Brave เธอจะไม่สามารถพบกับรอสต์อีกตามกฎของเผ่า หลังจากนั้นเอลอยเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองและพบกับโอลิน ชายที่มี Focus เหมือนกับเธอ โอลินเป็นสมาชิกของ The Eclipse ซึ่งพวกเขาสวมใส่ Focus เพื่อรับคำสั่งจาก Hades เมื่อ Hades เห็นเอลอยผ่าน Focus ของโอลิน เขารู้ทันทีว่าเอลอยเป็นภัยต่อแผนการของเขา เพราะเธอมีพันธุกรรมของอลิซาเบทที่ Gaia สร้างขึ้น Hades จึงสั่งให้ The Eclipse สังหารเอลอยโดยทันที
วันถัดมา ขณะที่เอลอยเพิ่งชนะการทดสอบ พวก The Eclipse บุกโจมตีสถานที่ทดสอบและสังหารทุกคน รอสต์เข้ามาช่วยเอลอยและสละชีวิตเพื่อให้เธอรอดพ้น จากนั้นเอลอยตื่นขึ้นที่ Mother’s Cradle และพบ Focus ที่เก็บได้จากศพของ The Eclipse การตรวจสอบ Focus เหล่านี้ทำให้เธอรู้ว่าโอลินมีความเกี่ยวข้องกับ The Eclipse และยังพบภาพของอลิซาเบทที่มีลักษณะและข้อมูลทางกายภาพเหมือนกับเธอ ทำให้เอลอยสงสัยว่าอลิซาเบทอาจเป็นแม่ของเธอ เทียร์ซ่าเล่าเหตุการณ์ในวันที่เอลอยเกิดที่ Mother’s Cradle ให้ฟัง และเอลอยตัดสินใจลองเปิดประตูของ The Cradle เพื่อค้นหาความจริง แต่ระบบของประตูได้รับความเสียหายทำให้ไม่สามารถเปิดได้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหา The Eclipse และล้างแค้นให้กับรอสต์ พร้อมกับค้นหาความจริงเกี่ยวกับอดีตของเธอ เทียร์ซ่าจึงแต่งตั้งให้เอลอยเป็น Seeker ซึ่งเป็นตำแหน่งพิเศษของชาวนอร่าที่อนุญาตให้เธอเดินทางไปยังที่ใดก็ได้โดยไม่ละเมิดกฎของเผ่า ก่อนที่เอลอยจะออกจากหมู่บ้าน พวก The Eclipse ส่ง Corrupter มาโจมตีหมู่บ้าน หลังการต่อสู้ เอลอยใช้ชิ้นส่วนของ Corrupter มาปรับปรุงหอกของเธอให้สามารถควบคุมสัตว์เครื่องจักรอื่นๆ ได้ ทำให้เธอมีความสามารถใหม่ในการควบคุมเครื่องจักรและเตรียมพร้อมสำหรับ Horizon Zero Dawn การผจญภัยต่อไป
หลังจากนั้น เอลอยเดินทางไปที่ Maker’s End เพื่อตามหาเบาะแสของอลิซาเบท และพบกับ The Eclipse ที่กำลังปลุกหุ่น Deathbringer ขึ้นมาสู้ด้วย เอลอยสำรวจหอคอยที่โอลินกล่าวถึง ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานของบริษัท FAS โดยใช้ Focus เก็บข้อมูลจากสำนักงาน ทำให้เธอรู้เรื่องราวของภัยพิบัติจากหุ่นรบ Peacekeeper ที่สร้างโดย FAS และรู้ว่าอลิซาเบทเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามหยุดยั้งภัยพิบัติด้วยโปรเจ็คต์ Zero Dawn ข้อมูลนี้ทำให้เอลอยสับสนเพราะอลิซาเบทมีชีวิตเมื่อเกือบพันปีก่อน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นแม่ของเธอได้
ไซเลนส์ติดต่อมาอีกครั้งและแนะนำให้เอลอยร่วมมือกับเขาในการค้นหาความจริงและหยุดยั้ง The Eclipse โดยยังไม่ได้เปิดเผยว่าเขาคือผู้ช่วย Hades ในการสร้าง The Eclipse เบาะแสถัดไปของเอลอยคือฐานบัญชาการกองทัพสหรัฐที่อลิซาเบทเสนอโปรเจ็คต์ Zero Dawn ต่อ นายพล Herres ซึ่งเป็นซากปรักหักพังทางตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียกว่า Grave-Hoard เมื่อมาถึง Grave Hoard เอลอยได้เรียนรู้เกี่ยวกับยุทธการ Enduring Victory ที่ใช้เพื่อซื้อเวลาให้กับโปรเจ็คต์ Zero Dawn แต่ไม่พบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอลิซาเบทและโปรเจ็คต์ Zero Dawn มากนัก ยกเว้นสถานที่ตั้งของศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn ก่อนที่จะต้องปะทะกับหุ่น Deathbringer ที่สร้างขึ้นใหม่จากซากของ Horus
เป้าหมายถัดไปของเอลอยคือไปยังศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn ซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินของ Sunfall เมืองหลวงของกลุ่ม Shadow Carja ไซเลนส์แนะนำให้เธอทำลายเครือข่ายการสื่อสารของ The Eclipse ก่อนเพื่อให้การลอบเข้าไปใน Sunfall ง่ายขึ้น เอลอยจึงไปยังค่ายของ The Eclipse ที่ตั้งของ Tallneck ที่ติดตั้ง Module เครือข่ายสัญญาณ ในที่นั้นเอลอยพบกับ Hades ตัวเป็นๆ เมื่อทำลาย Module และหลบหนีออกมาได้สำเร็จ เธอก็เริ่มบุกศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn
เมื่อเอลอยทำการก็อปปี้ข้อมูลเสร็จ เธอก็ถูกจับโดยเฮลิส ซึ่งบอกว่าเขาสั่งให้สมาชิก The Eclipse บุกโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่านอร่าและฆ่าล้างทุกคน แต่เพราะเอลอยไปทำลายเครือข่ายการสื่อสารทำให้ไม่สามารถยกเลิกคำสั่งได้ เฮลิสทำลาย Focus ของเอลอยและจับเธอเข้าสู่พิธีประหารด้วยการให้เธอสู้กับ Behemoth ที่ควบคุมโดย Corruptor ซึ่งเอลอยเอาชนะได้ด้วยความช่วยเหลือจากไซเลนส์ ที่พาเธอหนีออกจาก Sunfall พร้อมกับ Focus ใหม่ที่ก๊อปปี้ข้อมูลแบ๊คอัพจาก Focus เดิม
ข้อความของ Gaia ยังแนะนำให้เอลอยไปที่ Gaia Prime เพื่อค้นหาวิธีการปิดการทำงานของ Hades โดยใช้ Master Override ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งแผนการของ Hades เมื่อเอลอยมาถึง Gaia Prime ไซเลนส์ที่ได้พบกับสถานที่แห่งนี้เมื่อ 19 ปีก่อน เผยว่าเขาเคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงความลับภายใน Gaia Prime แต่ไม่สำเร็จ ไซเลนส์ได้เปิดเผยว่าเขาได้ค้นพบสถานที่นี้หลังการระเบิดและวันเกิดของเอลอย แต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลภายในที่สำคัญ ด้วยความรู้ที่เอลอยได้รับจาก Gaia และรหัสพันธุกรรมของอลิซาเบทที่เธอมี เธอสามารถเข้าถึงส่วนที่ซ่อนอยู่ของ Gaia Prime ได้ ในตอนนี้ เอลอยและไซเลนส์ร่วมมือกันเพื่อหาวิธีหยุดยั้ง Hades และค้นหาวิธีซ่อมแซม Gaia เพื่อฟื้นฟูโลกให้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ในระหว่างการสำรวจ Gaia Prime เอลอยได้ค้นพบความจริงที่เกี่ยวข้องกับการเสียสละของอลิซาเบท โดยรู้ว่าอลิซาเบทได้ทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องระบบของ Gaia เธอยังได้รู้ว่าเท็ด แฟโร่ ผู้ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้บริหารของโครงการ Zero Dawn คือผู้ที่ลบข้อมูลของ Apollo และสังหารสมาชิก Alpha ของโครงการ นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลให้ระบบข้อมูลสำคัญของโลกยุคใหม่ถูกทำลาย ใน Gaia Prime เอลอยได้ค้นพบ Master Override ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีความสามารถพิเศษในการควบคุมและทำลายการทำงานของระบบของ Hades ไซเลนส์ เปิดเผยกับเอลอยว่าเขาเป็นผู้ที่ช่วย Hades สร้าง The Eclipse และว่าเป้าหมายหลักของ Hades คือการใช้ The Spire เพื่อปลุกหุ่น Peacekeeper ทั่วโลก ซึ่งจะทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงที่ไม่อาจควบคุมได้
เอลอยเข้าใจว่า Hades และ The Eclipse มีแผนที่จะบุกเมืองเมอริเดียนเพื่อเข้าถึง The Spire และปลุกหุ่น Peacekeeper ตามแผนการของพวกเขา ด้วยความรู้ที่ได้มา เอลอยตัดสินใจที่จะขอความร่วมมือจากกษัตริย์อาว้าดในการต่อสู้กับ The Eclipse ไซเลนส์ได้มอบหอกที่ติดตั้ง Master Override ให้กับเอลอย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการหยุดยั้ง Hades ศึกสุดท้ายเริ่มขึ้นเมื่อ Hades พยายามเข้าถึง The Spire เอลอยต้องใช้ Master Override เพื่อปิดการทำงานของ Hades และปกป้องโลกจากการถูกทำลาย การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความท้าทาย แต่เอลอยสามารถหยุดยั้งแผนการของ Hades ได้สำเร็จ หลังจากชัยชนะครั้งสำคัญ เอลอยเดินทางไปยังบ้านเกิดของอลิซาเบทที่อยู่ในสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่นั่นเธอพบศพของอลิซาเบทและบันทึกสุดท้ายที่อลิซาเบทได้ทิ้งไว้ร่วมกับ Gaia การค้นพบนี้ทำให้เอลอยได้รับความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับความเสียสละและความมุ่งมั่นของแม่เธอในการรักษาความปลอดภัยของโลกและการปกป้องอนาคตของมนุษยชาติ
อลิซาเบท สมมติว่าคุณมีลูกสักคน คุณหวังให้ลูกของคุณเป็นยังไง ฉันว่า ฉันคงอยากให้เธอเป็นคนช่างสงสัยมีความแน่วแน่ ไม่หยุดยั้งต่อสิ่งใดแต่มีเมตตามากพอที่จะดูแลรักษาโลกใบนี้แม้จะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ก็ตาม Horizon Zero Dawn จบบริบูรณ์